“ช้างพังไก่” ท่านอ่านแล้วคงสงสัยว่าคืออะไร จะหมายถึงช้างสู้กับไก่ หรือเป็นสำนวนหรือไม่ คนที่จะอธิบายได้ คือ เด็ก ๆ ชั้นอนุบาลปีที่ 2/1 โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ที่ได้เรียนรู้เรื่อง “ช้าง” อย่างลุ่มลึก ในกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Project Approach ซึ่งโรงเรียนจัดเป็นประจำทุกปี โดยบูรณาการกับการเรียนรู้แบบ STEAM คือ วิชาวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) ศิลปะ (Arts) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) เพื่อให้เด็กได้พัฒนาทุกด้านอย่างเป็นองค์รวม ปูพื้นฐานทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ให้เด็กมีความพร้อมในการพัฒนาตนเองในอนาคต
การเรียนรู้แบบ Project Approach ของโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ แบ่งเป็น 3 ระยะ โดยเริ่มที่ระยะเริ่มต้น ที่เด็กทุกคนได้เสนอหัวเรื่องที่ตนสนใจอยากเรียนรู้และสรุปร่วมกันได้ 5 เรื่อง ได้แก่ ช้าง รถของเล่น ส้ม พิซซ่า ไม้บล็อก และเมื่อเด็ก ๆ ได้ลงคะแนนเลือกตามระบอบประชาธิปไตย เรื่อง “ช้าง” มีเด็กสนใจมากที่สุดถึง 12 คน ซึ่งแต่ละคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เดิมให้เพื่อน ๆ และคุณครูฟังอย่างสนุกสนาน และถ่ายทอดประสบการณ์เดิมผ่านกิจกรรมศิลปะ หลากหลายรูปแบบ เช่น การปั้นดินน้ำมัน การประดิษฐ์จากเศษวัสดุ การวาดภาพระบายสี การต่อพลาสติกสร้างสรรค์ เป็นต้น และเด็กๆ ร่วมกันคิดตั้งคำถามในสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับ “ช้าง” และสรุปร่วมกันเป็นประเด็นคำถาม 6 ประเด็น ได้แก่ ช้างคืออะไร ช้างมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ช้างเติบโตอย่างไร ช้างกินอะไรเป็นอาหาร ช้างอยู่ที่ไหนและคนเอาช้างไปทำอะไร
เมื่อการเรียนรู้เข้าสู่ระยะที่ 2 เด็ก ๆ ใช้เวลา 5 สัปดาห์ ในการสืบค้นหาคำตอบในประเด็นต่าง ๆ ด้วยตนเองจากแหล่งต่าง ๆ ตามวิธีการที่ได้เสนอความคิดเห็นกันไว้ ทั้งจากการค้นหาในอินเทอร์เน็ต ดู YouTube การเปิดหนังสือหรือสารานุกรม การสอบถามจากผู้ที่มีความรู้ และจากการทัศนศึกษาในแหล่งเรียนรู้ โดยก่อนสืบค้นข้อมูลในประเด็นแรก “ช้างคืออะไร” เด็ก ๆ ได้คาดคะเนคำตอบไว้ว่า “ช้างคือสัตว์บก เป็นสัตว์กินพืช ตัวใหญ่ ใช้เป็นยานพาหนะได้” ซึ่งหลังจากค้นหาข้อมูลแล้ว ได้คำตอบตรงกับการคาดคะเนของเด็ก ๆ และมีคำอธิบายชัดเจนจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ว่า “ช้าง หมายถึง ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุด ตัวสีเทา จมูกยืนยาว เรียกว่า งวง ตัวผู้มีงายาว เรียกว่า ช้างพลาย ถ้ามีงาสั้น เรียกว่า ช้างสีดอ ตัวผู้เมื่อตกมันมีความดุร้ายมาก ตัวเมียเรียกว่า ช้างพัง ส่วนใหญ่ไม่มีงาปรากฎให้เห็น แต่บางตัวมีงาสั้น ๆ เรียกว่า ขนาย โผล่ออกมา กินพืช อยู่รวมกันเป็นโขลง มีช้างพังอายุมากเป็นจ่าโขลง”
เด็ก ๆ ได้สืบค้นเพิ่มเติมถึงประเภทของสัตว์ที่เหมือนช้าง เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์บก สัตว์กินพืช เป็นต้น และได้รู้ว่ามีนักวิทยาศาสตร์ไปขุดเจอกระดูกฟอสซิลที่ประเทศอียิปต์ มีลักษณะกระดูกคล้ายช้าง มีชื่อว่า กอมโฟเทอเรียม และแมมมอธ เด็ก ๆ ยังพบข้อมูลอีกว่า มีช้าง 2 สายพันธุ์ คือ ช้างเอเชีย และช้างแอฟริกา จึงได้ลองบอกเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง และช่วยกันเขียนลงใน Venn Diagram เด็ก ๆ ได้ลองสำรวจและสังเกตช้างจำลองและภาพส่วนประกอบต่าง ๆ ของช้าง และสรุปร่วมกันได้ว่า เช่น “ช้างเป็นสัตว์ที่มีอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในเหมือนคน ในตัวช้างมีกระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครง ทำให้ช้างยืนได้ ทรงตัวได้ งาคือฟันของช้าง” เป็นต้น และยังได้คำตอบของข้อสงสัยเพิ่มเติมของเด็ก ๆ ว่า ช้างมีงวงไว้ทำอะไร ช้างมีหางไว้ทำอะไร ช้างมีงาทุกตัวไหม หูช้างใช้ฟังเสียงได้ไหม และช้างมีเล็บไหม/ตัดเล็บได้ไหม และช่วยกันทำ Web ส่วนประกอบของช้างในประเด็นคำถาม “ช้างเติบโตอย่างไร” เด็ก ๆ ได้สืบค้นและพูดคุยสรุปร่วมกันได้ว่า “แม่ช้างท้องประมาณ 22 เดือน จะยืนตกลูกครั้งละไม่เกิน 4 ตัว ลูกช้างที่ออกมาจะยืนได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง แม่ช้างจะให้ลูกช้างกินนมจนอายุ 4 ปี ลูกช้างอายุ 4 เดือน จะเริ่มกินหญ้า ใบไม้ได้ ช้างตัวผู้อายุ 14 ปี จะแยกออกจากโขลงไปหาอาหารกินเอง และช้างมีอายุ 60 – 70 ปี
ในประเด็นคำถามต่อมาว่า “ช้างกินอะไรเป็นอาหาร” เด็ก ๆ ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและเดินสำรวจต้นไม้ในโรงเรียนเพื่อหาว่ามีต้นไม้ที่ช้างสามารถกินได้หรือไม่ และค้นหาจากหนังสือ นำมาสรุปร่วมกันได้ เช่น “ช้างใช้ง่วงดึงกิ่งไม้ใบไม้บนต้นไม้ลงมาใส่ปากกิน ช้างต้องกินอาหารในแต่ละวันให้ได้ 200 กิโลกรัม ช้างกินต้นไผ่ ใบไผ่ กิ่งไผ่” เป็นต้น
ซึ่งในช่วงการสืบค้นข้อมูล เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ จึงได้ช่วยกันสืบค้นเกี่ยวกับช้างคู่พระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 จากหนังสือหลายเล่ม และสรุปข้อมูลร่วมกันได้ว่า “ช้างเผือกต่างจากช้างทั่วไป ช้างเผือกมีผิวสีขาวออกสีชมพู มีงาใหญ่ ยาว สีขาวทั้ง 2 ข้าง มีตาสีขาว มีเล็บสีขาว เพดานในปากสีขาว ขนหางสีขาว ช้างตัวนี้ชื่อพลายแก้ว เป็นช้างป่าจากจังหวัดกระบี่ ตั้งชื่อใหม่ว่าคุณพระเศวตฯ เป็นช้างคู่กับในหลวงรัชกาลที่ 9” ในประเด็นคำถามว่า “ช้างอยู่ที่ไหน” เด็ก ๆ ได้สืบค้นข้อมูลและสรุปร่วมกันได้ว่า “ช้างเป็นสัตว์สังคม อาศัยอยู่ในป่า อยู่รวมกันเป็นโขลงและมีจ่าโขลงเป็นตัวนำหาอาหารและดูแลความปลอดภัยในโขลง ช้างในป่าจะพักผ่อนด้วยการยืนหลับและจะนอนตะแคงเอาหูแนบพื้นเพื่อฟังเสียงสัตว์ตัวอื่น และมีคนเลี้ยงช้างไว้ในสวนสัตว์ จะได้ไม่สูญพันธุ์”
และเด็ก ๆ ได้มีโอกาสได้ทัศนศึกษาที่ “ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ” ได้เห็นช้างตัวจริง ได้รู้จักน้องแบงค์ ช้างสีดอเพศผู้ อายุ 11 ปี และคุณยายบุญมี ช้างเพศเมีย อายุ 80 ปี ได้สำรวจและสังเกตลักษณะต่าง ๆ ได้ป้อนอาหาร สังเกตอาหารและพฤติกรรมการกิน สัมผัสช้างอย่างใกล้ชิด ได้เห็นการแสดงโชว์ความสามารถของช้าง ได้พูดคุยสอบถามสิ่งที่สงสัยจากพี่ควาญช้างที่ดูแลช้างและคุณหมอที่มาตรวจสุขภาพช้างในสวนสัตว์ เป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดี ของเด็ก ๆ
และในประเด็นคำถามสุดท้าย “คนเอาช้างไปทำไร” เด็ก ๆ ได้สรุปความเห็นร่วมกันได้ เช่น “คนใช้ช้างเป็นยานพาหนะได้ เพราะช้างเป็นสัตว์ตัวใหญ่ แข็งแรง คนก็ไปขี่ช้างได้ คนใช้ช้างลากไม้ ลากซุง ลากของที่หนัก ๆ ได้ เพราะว่าช้างมันแข็งแรงมาก มีขาที่ใหญ่ด้วย ก็ลากของที่หนักได้ เอาช้างมาแสดงโชว์ให้คนไปดูได้ คนสมัยก่อนเอารูปช้างไปไว้ในธงเป็นธงช้างเผือก เป็นธงสัญลักษณ์ของประเทศไทยสมัยก่อน ใช้ไปติดที่เรือสินค้า” เป็นต้น
ในสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนรู้เกี่ยวกับช้าง เป็นระยะสรุป คุณครูและเด็ก ๆ ร่วมกับสรุปองค์ความรู้ตามประเด็นคำถามที่ตั้งไว้ เด็ก ๆ ได้ทบทวนประสบการณ์ และเสนอความคิดเห็นกันว่าอยากสร้างช้างตัวใหญ่ เด็ก ๆ จึงช่วยกันออกแบบและประดิษฐ์ช้างจากเศษวัสดุ ช่วยกันเลือกวัสดุมาสร้างเป็นส่วนต่างๆ แล้วค่อย ๆ ต่อเติมทีละส่วนจนมีความสูงใหญ่ 157 เซนติเมตร ยืนโดดเด่นอยู่ในห้องนิทรรศการ ซึ่งภายในห้องตกแต่งเป็นป่าจำลอง มีต้นไม้ พื้นหญ้า พื้นดินและน้ำ และประดับห้องด้วยผลงานจากการเรียนรู้ของเด็กทุกคน ในวันแสดงนิทรรศการเด็ก ๆ ได้เล่าประวัติช้างตัวใหญ่นี้ว่า เป็นช้างเอเชีย เพศเมีย อายุ 10 ปี ชื่อว่า “ช้างพังไก่” มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงคลายสงสัยแล้ว และคงรู้สึกชื่นชมและชื่นใจกับพัฒนาการของเด็ก ๆ
โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่
3810 ถนนพระราม 4 , แขวงคลองตัน เขตคลองเตย, กรุงเทพ, 10110
โทรศัพท์: (0) 2 249-0081-3เยี่ยมชมเว็บไซต์
เว็บไซต์