หากพูดถึงความโด่งดัง เป็นที่นิยม และเป็นขวัญใจของเด็ก ๆ และผู้คนทุกเพศทุกวัย “คาปิบารา” เป็นหนึ่งในสัตว์ซุปเปอร์สตาร์ที่ใคร ๆ พูดถึง ด้วยลักษณะตัวอ้วนกลม ขนสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาน่ารัก ดูเป็นมิตร ทำให้ใครที่ได้พบเห็นต่างก็หลงรัก รวมทั้งเด็กชั้นอนุบาล ๓/๑ จากโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ซึ่งสนใจเป็นพิเศษ และอยากรู้จักให้มากยิ่งขึ้น จึงร่วมกันเสนอเป็นหัวข้อเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ในกิจกรรม Project Approach ซึ่งโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่จัดให้เด็กทุกระดับชั้นได้เรียนรู้เป็นประจำทุกปี
เด็ก ๆ ได้เริ่มต้นเรียนรู้ในระยะแรกของกิจกรรม Project Approach ใช้เวลา ๑ สัปดาห์ เพื่อช่วยกันเลือกหัวข้อเรื่องที่สนใจอยากเรียนรู้และประเด็นที่สงสัยเกี่ยวกับสิ่งนั้น ซึ่งเด็ก ๆ ได้ช่วยกันเสนอหลากหลายหัวข้อ เช่น รถไฟ แมว เครื่องคิดเลข แว่นตา เครื่องชั่งน้ำหนัก คาปิบารา เป็นต้น และเมื่อใช้กระบวนการประชาธิปไตยให้เด็ก ๆ ลงคะแนนเลือกหัวข้อที่สนใจพร้อมทั้งบอกเหตุผลของการเลือก ปรากฏว่า คาปิบารา เป็นเรื่องที่เด็กลงคะแนนมากที่สุดถึง ๗ คะแนน รองลงมา คือ รถไฟที่มี ๕ คะแนน และแว่นตากับเครื่องชั่งน้ำหนักที่มี ๒ คะแนน เมื่อได้หัวข้อเรื่องแล้ว เด็ก ๆ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์เดิมผ่านกิจกรรมศิลปะหลากหลาย เช่น การวาดภาพด้วยสีต่าง ๆ การประดิษฐ์ การปั้น และการเล่า เช่น “คาปิบารามันน่ารัก หนูเคยเห็นที่ซาฟารีเวิลด์ ขนมันนุ่ม ๆ สาก ๆ” “เคยเห็นที่สวนสัตว์ เคยป้อนแคร์รอตให้คาปิบารา เห็นมันอยู่ในน้ำ คาปิบาราอยู่กับพ่อแม่ มันมีตัวใหญ่แล้วตัวเหม็น” เด็ก ๆ ได้ช่วยกันตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัยเกี่ยวกับคาปิบารา และสรุปเป็น Web ร่วมกันกับคุณครู ได้ประเด็นคำถาม ๖ ประเด็น ได้แก่ คาปิบาราคืออะไร รูปร่าง/ลักษณะ นิสัย/พฤติกรรม สายพันธุ์ ธรรมชาติ และการเลี้ยง พร้อมทั้งช่วยกันเสนอวิธีการค้นหาคำตอบด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น เปิด YouTube สืบค้นในพจนานุกรม สืบค้นจากหนังสือเกี่ยวกับคาปิบารา เป็นต้น
ในการเรียนรู้ระยะที่ ๒ คือ ระยะสืบค้น ใช้เวลา ๕ สัปดาห์ เพื่อสืบค้นข้อมูลด้วยวิธีการและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน และจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เริ่มจากการสำรวจภาพ สัมผัสตุ๊กตา ดู YouTube และค้นหาคำจากอินเทอร์เน็ต โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ให้เด็ก ๆ แบ่งหน้าที่และมอบหมายงานให้รับผิดชอบ ช่วยกันสรุปสิ่งที่ค้นพบแล้วนำมาเสนอให้เพื่อน ๆ ฟัง เช่น “คาปิบารา คือ หนูยักษ์ ลักษณะคล้ายหนูตะเภา มีขนเหมือนมะพร้าว มีหูสั้น ไม่มีหาง เท้าหน้ามี ๔ นิ้ว เท้าหลังมี ๓ นิ้ว ขาหน้าจะยาวหว่าขาหลัง เท้าหน้าติดกันเป็นพังผืดเหมือนเป็ด มีฟันหน้าติดกันและมีขนาดใหญ่กว่าบีเวอร์ ๒ เท่า เป็นสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินผักผลไม้เป็นอาหาร เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชอบอาศัยอยู่ในน้ำ มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่อเมริกาใต้ ไม่ได้อยู่ในประเทศชิลีเพราะข้ามภูเขามาไม่ได้ จึงไม่มีคาปิบาราที่ประเทศชิลี”
ในช่วงต่อมาเด็ก ๆ ได้ช่วยกันสืบค้นลักษณะของคาปิบารา และสรุปข้อมูลร่วมกันได้ว่า “ลำตัวใหญ่กลม มันตัวอ้วน มีสีน้ำตาล นิ้วมีผังผืดติดกัน” และที่เรียกว่า “หมามะพร้าว” เพราะหน้าตาเหมือนหมา ขนแข็งเหมือนมะพร้าว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กะปิปลาร้า” และเด็ก ๆ ได้ใช้ Venn Diagram เปรียบเทียบความเหมือน-ความต่างของคาปิบารากับหนูตะเภาได้ เช่น “ไม่มีหางเหมือนกัน ออกลูกเป็นตัวเหมือนกัน คาปิบารามีต่อมเหงื่อ หนูตะเภาไม่มี คาปิบาราชอบอยู่ในน้ำแต่หนูตะเภาไม่ชอบอยู่ในน้ำ” เป็นต้น เด็ก ๆ ได้ช่วยกันค้นหาต่อจนพบว่า คาปิบารามี ๒ สายพันธุ์ คือ พันธุ์ขนาดใหญ่ มีน้ำหนักประมาณ ๓๕ - ๗๐ กิโลกรัม มีความยาวเฉลี่ย ๑๓๐ เซนติเมตร พบในอเมริกาใต้ ยกเว้นประเทศชิลี และพันธุ์ขนาดเล็ก มีน้ำหนักประมาณ ๒๕ - ๓๕ กิโลกรัม พบทางตะวันออกของปานามา ทางตะวันตกของเวเนซูเอลา และทางตะวันตกเฉียงเหนือของโคลัมเบีย และค้นพบว่าคาปิบาราเป็นสัตว์สังคม ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง และเป็นเพื่อนกับสัตว์ทุกตัว สามารถอยู่กับจระเข้ได้โดยไม่เป็นอันตราย ว่ายน้ำเก่งเพราะเท้ามีผังผืด สามารถดำน้ำได้นาน ๕ นาที และได้ค้นพบความลับของคาปิบารา คือ มันกินอึตัวเอง เพราะอึมีสารอาหารและจุลินทรีย์จะทำให้ย่อยง่าย
เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากคาปิบาราตัวจริงเป็น ๆ คุณครูจึงได้พาเด็ก ๆ ไปเรียนรู้ที่ “Little Zoo Garden” และนำประสบการณ์มาถ่ายทอดผ่านการเล่า การวาดภาพระบายสี การประดิษฐ์ และยังได้ช่วยกันแต่งนิทาน เช่น เรื่องความรักของแม่คาปิบารา เรื่องคาปิบารากล้าหาญ เรื่องกระต่ายกับคาปิบารา เป็นต้น ในประเด็นคำถาม “ธรรมชาติของคาปิบารา” เด็ก ๆ ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นจากประสบการณ์เดิมของแต่ละคนว่าคาปิบาราชอบกินอะไร เช่น “คาปิบารากินพืชผักทุกชนิด ผลไม้มันก็กิน มันกินอึตัวเอง กินข้าวโพด แอปเปิลเขียว มะเขือเทศ เปลือกต้นไม้ใบไม้ และหญ้าอัลฟัลฟาก็กิน” คุณครูได้ลองตั้งคำถามให้เด็ก ๆ ได้คิดว่า “เพราะอะไรคาปิบาราต้องกินตลอดเวลา ถ้าไม่กินจะเกิดอะไรขึ้น ?” เด็ก ๆ สามารถตอบได้ว่า “คาปิบาราฟันงอกตลอดเวลา จึงต้องคอยกินเพื่อไม่ให้ฟันมันงอกเพิ่มขึ้นมา” ในเรื่องของการสืบพันธุ์ เด็ก ๆ ช่วยกันค้นหาข้อมูลและสรุปคำตอบร่วมกันได้ว่า คาปิบาราผสมพันธุ์ในน้ำ อุ้มท้อง ๕ เดือน และคลอดลูกบนบก ครั้งละ ๔ - ๕ ตัว และนำมาเปรียบเทียบกับคนได้ว่า คนตั้งท้อง ๙ เดือน มากกว่าคาปิบารา ๔ เดือน ลูกคาปิบาราคลอดแล้วไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถว่ายน้ำได้ แต่ลูกคนยังเดินไม่ได้ ต้องใช้เวลา ๑ - ๒ ปี จึงจะเดินได้ และช่วยกันจัดทำ Web การสืบพันธุ์ของคาปิบารา ในประเด็นคำถามสุดท้ายว่า “คาปิบาราสามารถเลี้ยงได้ไหม” เด็ก ๆ ได้สืบค้นข้อมูลและได้สอบถามจากวิทยากร คุณเกตน์สิรี สุนันต๊ะ ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยงคาปิบารา จนสามารถสรุปคำตอบร่วมกันได้ว่า คาปิบาราเป็นสัตว์สังคม มีนิสัยขี้อ้อน เลี้ยงเพื่อช่วยกินหญ้า เป็นเพื่อนคลายเหงา ประเทศเวเนซุเอลาเลี้ยงไว้กิน มีกลิ่นเหมือนปลา รสชาติเหมือนหมู บางตัวรสชาติเหมือนกระต่าย เลี้ยงเพื่อเอาหนังมาทำกระเป๋า
ในสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนรู้ คุณครูและเด็ก ๆ ช่วยกันสรุปคำตอบของทุกประเด็นคำถามที่ตั้งไว้ โดยถ่ายทอดผ่านการเล่า การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะหลากหลายวิธี และเด็ก ๆ ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันออกแบบและตกแต่งห้องนิทรรศการให้สวยงามด้วยความตั้งใจ จัดทำคาปิบาราตัวใหญ่จากเศษวัสดุ จำลองที่อยู่ของคาปิบารา จัดทำการ์ดเชิญคุณพ่อคุณแม่ให้เข้ามาดูผลงาน ซึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ตลอดระยะเวลา ๗ สัปดาห์ มีการบูรณาการ STEAM ในทุก ๆ กิจกรรม ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปะรวมไปถึงภาษา และคณิตศาสตร์ ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะการคิด การแก้ปัญหา จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เกิดประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ได้พัฒนาทักษะด้านสังคมจากการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม รู้จักรับฟังและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์จากการได้ฝึกการนำเสนออย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจ กล้าพูด กล้าแสดงออก และทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสนุกสนานและมีความสุข
ในงานนิทรรศการ เด็กได้นำผู้ปกครองและผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการ มีการนำเสนอสิ่งที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับคาปิบาราได้อย่างน่าสนใจ และเด็ก ๆ ได้ตั้งคำถามกับผู้ชมนิทรรศการว่า “คาปิบารากินอะไรเป็นอาหาร” ซึ่งผู้เข้าชมนิทรรศการต่างช่วยกันตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นผักและผลไม้ แต่ไม่มีใครคาดคิดหรือรู้ถึงความลับของซุปตาร์ “คาปิบารา” ได้เลย จนเด็ก ๆ เฉลยความลับด้วยสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจให้ทุกคนรู้ว่า “คาปิบาราชอบกินอึตัวเอง เพราะช่วยย่อยอาหารได้” สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับทุกคน และบรรยากาศในห้องนิทรรศการอบอวลไปด้วยความสุข
โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่
3810 ถนนพระราม 4 , แขวงคลองตัน เขตคลองเตย, กรุงเทพ, 10110
โทรศัพท์: (0) 2 249-0081-3เยี่ยมชมเว็บไซต์
เว็บไซต์